นับตั้งแต่นโยบายหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพ ไปจนถึงการเลือกตั้งระดับชาติครั้งที่ผ่านมาล่าสุดในปี 66 หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือหลายพรรคชูนโยบายให้ “ค่ำคืน” ของประเทศไทย ไม่ถูกจำกัดแค่ “ตี2” อีกต่อไป แล้วเปลี่ยนเป็นให้กลางคืนมันไปสุดจนถึงเช้า
กลางคืนที่ว่า ก็หมายถึง “การท่องราตรี” หรือความบันเทิงยามค่ำคืนของผู้คนนั่นเอง โดยจะยกเลิกข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ พร้อมทั้งผลักดันอะไรใหม่ ๆ อีกด้วย
เป็นที่รู้กันว่าโดยทั่วไป ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามจำหน่ายสุราหลังเที่ยงคืน พร้อม ๆ กับการจำกัดให้สถานบันเทิงทั่วไปมีเวลาเปิดปิดไม่เกิน 02.00 นาฬิกา ซึ่งก็ดำเนินแนวทางนี้มานับสิบปีแล้ว
แต่การดำเนินแนวทางนี้มัน “เสียโอกาส” อะไรไปหลาย ๆ อย่างมาก ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ดังนั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่ผู้คนในช่วงกลางปี 65 ต่างขานรับนโยบาย “ผู้ว่าเที่ยงคืน” ของคุณชัชชาติ ที่จะผลักดันให้กรุงเทพไม่หลับใหลพร้อม ๆ กับการจัดระเบียบใหม่
ความพยายาม “ปลดลิมิต” นี้เป็นเรื่องน่าสนับสนุน แต่นี่ไม่ใช่การสนับสนุนให้ผู้คนสำมะเลเทเมากันยันเช้า แต่มันคือเรื่องของเศรษฐกิจล้วน ๆ ลองมาคิดดูดี ๆ การจำกัดเวลาสนุกสนานยามราตรีของผู้คนมันไม่ได้กระทบแต่นักดื่มหรือคอปาร์ตี้เท่านั้น แต่มันกระทบเศรษฐกิจโดยภาพรวม
การมองว่าเศรษฐกิจหลังพระอาทิตย์ตกดินมีแต่เรื่องสถานบันเทิงที่สร้างปัญหาเป็นเรื่องที่ผิดฝาผิดตัวไปมาก เพราะในยามค่ำคืน ไม่ใช่แค่เพียงสถานบันเทิงเท่านั้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้คนอีกมากมาย การขยายเวลาสนุกสนานจะสร้างผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจให้ผู้คนอีกมากมาย ตั้งแต่พ่อค้าแม่ขายที่จะออกมาทำมาหากินรองรับบรรดานักท่องราตรี อย่างที่เห็นได้จากร้านอาหารโต้รุ่งทั้งหลายที่มีนักต่อนักแล้วที่สร้างรายได้มากมายจากการรองรับผู้คนในยามค่ำคืน จนกระทั่งขยับไปถึงการเป็นร้านดังระดับโลกได้
นี่ยังสามารถส่งผลต่อร้านรวงเล็ก ๆ หรือบรรดา “Street food” ทั่วทุกมุมเมืองได้อีกด้วย พวกเขาก็จะขายได้มากขึ้น สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจได้มากขึ้น เพราะเมื่อมีคน ก็มีความ “หิว”
อีกทั้งการค้าขายอื่น ๆ เช่นตลาดยามค่ำคืน สินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ก็จะได้ปรับตัว เพราะทีนี้พวกเขารู้แล้วว่าเมืองไม่ได้หลับใหล จะมีคนผ่านไปมาตลอด 24 ชั่วโมง และอย่างน้อยก็ต้องมีคนที่สนใจจับจ่ายแน่นอน
การขยายเวลาเปิดปิดสถานบันเทิง รวมถึงขยายเวลาขายสุรา ไม่ได้ทำให้เจ้าของกิจการร้านรวงและสุราร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการสร้างงานสร้างอาชีพ เพิ่มชั่วโมงการทำงาน เพิ่มรายได้ให้กับผู้คนที่ทำงานในยามค่ำคืน ให้พวกเขาได้ค่าแรงเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น อย่ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดบาป เป็นเรื่องจัดระเบียบสังคมใด ๆ เพราะข้างต้นสั้น ๆ ก็น่าจะเห็นได้แล้วว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้มากแค่ไหนถ้ากลางคืนมันไม่ได้หลับใหล
ที่สำคัญ เพียงกรุงเทพมหานครเมืองเดียว ที่กำลังโดนจำกัด ก็เป็นหนึ่งในที่หมายด้านความบันเทิงระดับโลกอยู่แล้ว การปลดลิมิตในอนาคตถ้าจะทำได้ จะดึงดูดการท่องเที่ยวและเงินทองได้อีกมหาศาล
เพราะในทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อยอยู่แล้ว เมื่อบรรดานักท่องเที่ยวเอ่ยปากถามว่า ทำไมพวกเขาซื้อเบียร์ได้แค่เวลาจำกัด ทำไมพวกเขาสนุกกันถึงเช้าไม่ได้ ทั้งที่พวกเขาก็พร้อมจะจับจ่ายเต็มที่มาก ๆ
อีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่เราจะต้องผลักดันให้กรุงเทพกลางคืนมันเป็นจริงให้ได้คือ นี่คือการขจัดการทุจรติอย่างยั่งยืนที่สุด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ร้านรวงที่ไม่น่ารักบางร้าน เพื่อที่จะเปิดได้จนเช้า เพื่อที่จะขายสุราได้เกินเวลา ก็ต้อง “ใต้โต๊ะ” ให้กับบรรดา “ปลาเน่า” ในหน่วยงานราชการไม่น้อย และกลายเป็นมะเร็งร้ายของระบบราชการไทย ถ้ากรุงเทพกลางคืนเกิดขึ้นจริงได้ ก็ไม่มีเหตุผลอีกต่อไปแล้วที่จะต้องจ่ายค่าคุ้มครองหรือค่าดำเนินสะดวกใด ๆ ตัดวงจรการโกงกินการทำชั่วไปได้ในตัว
เห็นไหม ว่ามีแต่ผลดีทั้งนั้น แต่พูดก็พูดเถอะ ผลเสียมันก็มี ทั้งเรื่องปัญหาสังคมหรือความปลอดภัยต่าง ๆ ตั้งแต่เมาอาละวาด ยาเสพติด ไปจนถึงเมาและขับ แต่ปัญหาพวกนี้มันจะเล็กน้อยมาก ถ้าการจัดระเบียบมันมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น นับจากวันนี้ ก็ขอร้องเพลงรอให้ถึงวินาทีที่กรุงเทพได้ปลดลิมิตซักที เพราะการปลดลิมิตนี้ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงความเจริญของเมืองและเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต
Comments