พี่เตชิต ชาวบางพรหม หัวหน้าศูนย์ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เล่าแก่ทีมงาน City Together ต่อไปว่า หลังจากที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เข้ารับตำแหน่ง ท่านก็ได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครด้านสาธารณสุขฯ ทันที โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายอีกจำนวนมาก และมีกลไกขับเคลื่อนออกมา 6-7 กลไก เช่น เรื่องปฐมภูมิ เรื่องผู้สูงวัย และเรื่องการฟื้นฟู รวมถึงเรื่องเฉพาะกิจเร่งด่วนเช่น ราชพิพัฒน์ sandbox กับ ดุสิตโมเดล
ทั้งนี้ พี่เตชิตกล่าวถึงข้อเด่นในการทำงานของ กทม. ที่ผ่านมาว่า ช่วงนี้ กทม. ใจกว้าง กล่าวคือ มีผู้คนที่หลากหลายเข้ามาทำงาน เป็นคนที่เก่งมีความรู้ความสามารถและยินดีที่จะเข้ามาช่วยทำงานแบบเร่งด่วน เพราะบนพื้นฐานของวิกฤติแล้ว สังคมกำลังมีความหวังและพลังแห่งความหวังได้จุดไฟให้หลาย ๆ ส่วนเข้ามาร่วมไม้ร่วมมือกันได้เพิ่มเติมและง่ายมากขึ้น
ตัวอย่างของความรวดเร็วในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสาธารณสุขของ กทม. ก็เช่น เรื่อง Telemedicine (ระบบบริการการแพทย์ทางไกล) ที่จะช่วยลดความแออัดของผู้เข้ารับการบริการในโรงพยาบาลหลัก ๆ หรือการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการขยายบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขลงไปยังศูนย์ย่อย ๆ ให้มีความหลากหลายและครอบคลุมมิติของการดูแลเรื่องสุขภาพมากขึ้น ตลอดรวมไปจนถึงการจัดทำเรื่องพื้นที่สาธารณะ เช่น เรื่อง Pocket Park (สวนขนาดเล็ก) และเรื่องฝุ่น PM2.5
สำหรับสิ่งที่เป็นข้อท้าทายแล้ว พี่เตชิตกล่าวว่า ช่วงที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เข้ารับตำแหน่ง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และรวมถึงโรคอื่น ๆ หรือวิกฤตอื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องฝุ่น PM2.5 ด้วย ประเด็นสำคัญก็คือวิกฤตที่เกิดขึ้นเฉพาะหรือฉุกเฉิน หรือวิฤตที่มีมาอย่างต่อเนื่องของกรุงเทพมหานคร อะไรที่เป็นอุปสรรคหรือข้อท้าทายในเรื่องสุขภาพที่ กทม. กำลังเผชิญอยู่ปัจจุบัน
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีข้อท้าทายในเรื่องเชิงโครงสร้างอยู่พอสมควร อย่างเช่นเรื่องระบบราชการ ดังนั้น ทำอย่างไรที่จะให้เกิดการปรับตัวระหว่างกันเพื่อให้การทำงานมีความลื่นไหลไปพร้อม ๆ กัน หรือการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานภาคีต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมและการอาศัยทรัพยากรจากภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดแก่พลเมืองของกรุงเทพมหานคร
Comments